คู่มือฉบับสมบูรณ์: เลือกเครื่องฟอกอากาศอย่างไรให้เหมาะกับคุณ | The Ultimate Guide: How to Choose the Right Air Purifier for You

ในยุคที่มลพิษทางอากาศกลายเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเรา การมีเครื่องฟอกอากาศไว้ในบ้านหรือที่ทำงานจึงไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือยอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อปกป้องตัวคุณและคนที่คุณรักจากฝุ่นละออง PM2.5, สารก่อภูมิแพ้, เชื้อโรค, และมลพิษอื่นๆ ที่มองไม่เห็น อย่างไรก็ตาม การเลือกเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะสมกับความต้องการและสภาพแวดล้อมของคุณนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องพิจารณา บทความนี้จะนำเสนอคู่มือฉบับสมบูรณ์ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงหลักการเลือกเครื่องฟอกอากาศอย่างละเอียด เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและได้รับประโยชน์สูงสุดจากเครื่องฟอกอากาศของคุณ

In an era where air pollution has become a major problem affecting our health, having an air purifier in your home or office is no longer a luxury. It is a necessity to protect yourself and your loved ones from PM2.5 dust, allergens, germs, and other invisible pollutants. However, choosing the right air purifier for your needs and environment is not easy. There are many factors to consider. This article will provide a comprehensive guide that will help you understand the principles of choosing an air purifier in detail. So that you can make confident decisions and get the most out of your air purifier.

ก่อนที่คุณจะเริ่มมองหาเครื่องฟอกอากาศ สิ่งแรกที่คุณต้องพิจารณาคือขนาดของห้องที่คุณต้องการใช้งาน ค่า CADR (Clean Air Delivery Rate) เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญที่จะบอกคุณว่าเครื่องฟอกอากาศนั้นมีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดอากาศในห้องขนาดเท่าใดต่อชั่วโมง ค่า CADR ที่สูงขึ้นหมายถึงเครื่องฟอกอากาศสามารถทำความสะอาดอากาศได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นสำหรับห้องขนาดใหญ่

1. วัดขนาดห้อง: วัดความกว้าง ความยาว และความสูงของห้อง (เป็นเมตร)
2. คำนวณปริมาตรห้อง: นำความกว้าง x ความยาว x ความสูง จะได้ปริมาตรห้องเป็นลูกบาศก์เมตร (m³)
3. เลือกค่า CADR: โดยทั่วไปแล้ว ค่า CADR ที่เหมาะสมควรมีค่าอย่างน้อย 2/3 ของปริมาตรห้อง ตัวอย่างเช่น หากห้องของคุณมีปริมาตร 30 m³ ค่า CADR ที่เหมาะสมควรอยู่ที่ประมาณ 20 m³/h ขึ้นไป

ข้อควรระวัง: ค่า CADR ที่ระบุบนเครื่องฟอกอากาศมักจะเป็นค่าสูงสุดที่วัดได้ในห้องทดลอง ซึ่งอาจแตกต่างจากสภาพแวดล้อมจริงในบ้านของคุณ ดังนั้น ควรเลือกเครื่องฟอกอากาศที่มีค่า CADR สูงกว่าที่คุณคำนวณได้เล็กน้อยเพื่อเผื่อไว้

Before you start looking for an air purifier, The first thing you need to consider is the size of the room you want to use it in. CADR (Clean Air Delivery Rate) is an important indicator that will tell you how effective an air purifier is at cleaning the air in a room of that size per hour. A higher CADR value means the air purifier can clean the air faster and is more effective for larger rooms.

1. Measure the room size: Measure the width, length, and height of the room (in meters).
2. Calculate the room volume: Take the width x length x height to get the room volume in cubic meters (m³).
3. Choose the CADR value: Generally, the appropriate CADR value should be at least 2/3 of the room volume. For example, if your room has a volume of 30 m³, the appropriate CADR value should be approximately 20 m³/h or higher.

Caution: The CADR value specified on the air purifier is usually the maximum value measured in a laboratory. This may differ from the actual environment in your home. Therefore, you should choose an air purifier with a CADR value slightly higher than what you calculated to be on the safe side.

เครื่องฟอกอากาศส่วนใหญ่ใช้ระบบการกรองหลายชั้นเพื่อดักจับมลพิษที่แตกต่างกัน แผ่นกรองแต่ละประเภทมีคุณสมบัติและความสามารถในการดักจับมลพิษที่แตกต่างกันไป

• Pre-filter (แผ่นกรองหยาบ): ดักจับอนุภาคขนาดใหญ่ เช่น ฝุ่น เส้นผม ขนสัตว์
• HEPA filter (แผ่นกรอง HEPA): ดักจับอนุภาคขนาดเล็กได้ถึง 0.3 ไมครอน เช่น ฝุ่น PM2.5, ละอองเกสร, ไรฝุ่น, สารก่อภูมิแพ้ (ประสิทธิภาพในการดักจับอย่างน้อย 99.97%)
• Activated carbon filter (แผ่นกรองคาร์บอน): ดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์, สารเคมี, ก๊าซพิษ, ควัน
• UV-C light (หลอด UV-C): ฆ่าเชื้อโรค, แบคทีเรีย, ไวรัส (บางรุ่น)
• Ionizer (เครื่องปล่อยประจุ): ปล่อยประจุลบเพื่อดักจับอนุภาคในอากาศ (บางรุ่น)

การเลือกแผ่นกรองที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ

หากคุณกังวลเรื่องฝุ่น PM2.5 และสารก่อภูมิแพ้ ควรเลือกเครื่องฟอกอากาศที่มีแผ่นกรอง HEPA เป็นหลัก หากคุณต้องการกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์และสารเคมี ควรเลือกเครื่องฟอกอากาศที่มีแผ่นกรอง Activated carbon หากคุณต้องการฆ่าเชื้อโรคและไวรัส ควรเลือกเครื่องฟอกอากาศที่มีหลอด UV-C หรือ Ionizer (แต่ควรศึกษาข้อดีข้อเสียของ Ionizer ก่อนตัดสินใจ)

Most air purifiers use a multi-layer filtration system to capture different pollutants. Each type of filter has different properties and abilities to capture pollutants.

• Pre-filter: Traps large particles such as dust, hair, and pet dander.
• HEPA filter: Traps small particles down to 0.3 microns, such as PM2.5 dust, pollen, dust mites, and allergens (at least 99.97% capture efficiency).
• Activated carbon filter: Absorbs unpleasant odors, chemicals, toxic gases, and smoke.
• UV-C light: Kills germs, bacteria, and viruses (some models).
• Ionizer: Releases negative ions to trap airborne particles (some models).

Choosing the right filter for your needs:

If you are concerned about PM2.5 dust and allergens, you should choose an air purifier with a HEPA filter as the main filter. If you want to eliminate unpleasant odors and chemicals, you should choose an air purifier with an activated carbon filter. If you want to kill germs and viruses, you should choose an air purifier with a UV-C light or an ionizer (but you should study the pros and cons of ionizers before making a decision).

นอกเหนือจากขนาดห้องและประเภทของแผ่นกรองแล้ว เครื่องฟอกอากาศบางรุ่นยังมีฟังก์ชันพิเศษเพิ่มเติมที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและประสิทธิภาพในการใช้งาน

• เซ็นเซอร์ตรวจจับคุณภาพอากาศ (Air quality sensor): ตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์และปรับความแรงพัดลมโดยอัตโนมัติ
• โหมดอัตโนมัติ (Auto mode): ปรับการทำงานของเครื่องฟอกอากาศตามคุณภาพอากาศโดยอัตโนมัติ
• โหมดกลางคืน (Sleep mode/Night mode): ลดเสียงรบกวนและปิดไฟแสดงสถานะเพื่อให้คุณนอนหลับสบาย
• ตั้งเวลาปิดเครื่อง (Timer): ตั้งเวลาปิดเครื่องอัตโนมัติ
• การควบคุมผ่านแอปพลิเคชัน (App control): ควบคุมเครื่องฟอกอากาศจากระยะไกลผ่านสมาร์ทโฟน
• ตัวบ่งชี้อายุการใช้งานแผ่นกรอง (Filter replacement indicator): แจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาเปลี่ยนแผ่นกรอง

การเลือกฟังก์ชันพิเศษ

การเลือกฟังก์ชันพิเศษขึ้นอยู่กับความต้องการและความสะดวกสบายของคุณ หากคุณต้องการความสะดวกสบายในการใช้งาน ควรเลือกเครื่องฟอกอากาศที่มีโหมดอัตโนมัติและเซ็นเซอร์ตรวจจับคุณภาพอากาศ หากคุณต้องการควบคุมเครื่องฟอกอากาศจากระยะไกล ควรเลือกเครื่องฟอกอากาศที่สามารถควบคุมผ่านแอปพลิเคชันได้

In addition to room size and filter types, some air purifiers also have additional special features that enhance convenience and efficiency.

• Air quality sensor: Measures air quality in real-time and automatically adjusts the fan speed.
• Auto mode: Automatically adjusts the operation of the air purifier according to the air quality.
• Sleep mode/Night mode: Reduces noise and turns off the status lights so you can sleep comfortably.
• Timer: Automatically turns off the machine at a set time.
• App control: Control the air purifier remotely via smartphone.
• Filter replacement indicator: Notifies you when it's time to replace the filter.

Choosing special features:

Choosing special features depends on your needs and convenience. If you want convenience, you should choose an air purifier with an auto mode and an air quality sensor. If you want to control the air purifier remotely, you should choose an air purifier that can be controlled via an application.

เพื่อให้เครื่องฟอกอากาศของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีอายุการใช้งานยาวนาน การบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ

• ทำความสะอาด Pre-filter: ทำความสะอาด Pre-filter ทุก 2-4 สัปดาห์ (หรือบ่อยกว่านั้นหากจำเป็น) โดยการดูดฝุ่นหรือล้างด้วยน้ำ
• เปลี่ยนแผ่นกรอง HEPA และ Activated carbon: เปลี่ยนแผ่นกรองตามคำแนะนำของผู้ผลิต (โดยทั่วไป HEPA filter จะเปลี่ยนทุก 6-12 เดือน และ Activated carbon filter จะเปลี่ยนทุก 3-6 เดือน)
• ทำความสะอาดตัวเครื่อง: เช็ดทำความสะอาดตัวเครื่องภายนอกด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ
• ตรวจสอบช่องลมเข้าและออก: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งกีดขวางช่องลมเข้าและออก

ข้อควรระวัง: ปิดเครื่องและถอดปลั๊กก่อนทำความสะอาดหรือเปลี่ยนแผ่นกรองทุกครั้ง

To keep your air purifier working efficiently and have a long lifespan, regular maintenance is essential.

• Clean the pre-filter: Clean the pre-filter every 2-4 weeks (or more often if necessary) by vacuuming or washing with water.
• Replace the HEPA and activated carbon filters: Replace the filters according to the manufacturer's instructions (generally, HEPA filters are replaced every 6-12 months, and activated carbon filters are replaced every 3-6 months).
• Clean the unit: Wipe the exterior of the unit with a damp cloth.
• Check the air inlet and outlet: Make sure there are no obstructions to the air inlet and outlet.

Caution: Always turn off and unplug the unit before cleaning or replacing filters.

• เครื่องฟอกอากาศไม่ทำงาน: ตรวจสอบว่าเสียบปลั๊กแน่นหรือไม่, ตรวจสอบสวิตช์เปิด/ปิด, ตรวจสอบฟิวส์
• เครื่องฟอกอากาศมีเสียงดัง: ตรวจสอบว่ามีสิ่งกีดขวางพัดลมหรือไม่, ทำความสะอาด Pre-filter, เปลี่ยนแผ่นกรอง
• คุณภาพอากาศไม่ดีขึ้น: ตรวจสอบว่าแผ่นกรอง HEPA และ Activated carbon หมดอายุหรือไม่, ตรวจสอบขนาดห้องและค่า CADR

• Air purifier not working: Check if the plug is securely plugged in, check the on/off switch, check the fuse.
• Air purifier is noisy: Check if there is anything obstructing the fan, clean the pre-filter, replace the filters.
• Air quality does not improve: Check if the HEPA and activated carbon filters have expired, check the room size and CADR value.

• เครื่องฟอกอากาศไม่สามารถกำจัดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (Carbon monoxide) ได้
• การเปิดหน้าต่างระบายอากาศเป็นครั้งคราวก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น
• เครื่องฟอกอากาศบางรุ่นอาจปล่อยโอโซน (Ozone) ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

• Air purifiers cannot remove carbon monoxide.
• Opening windows for ventilation occasionally is still necessary.
• Some air purifiers may release ozone, which can be harmful to health.

เครื่องฟอกอากาศมีประโยชน์สำหรับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้, หอบหืด, ผู้สูงอายุ, เด็กเล็ก, และผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศสูง